น้ำตาล...แหล่งพลังงานที่ให้ประโยชน์มากกว่าแค่ความหวาน ถ้าทานให้เป็น
น้ำตาลทำให้อาหารมีรสชาติหวานอร่อย เมื่อรับประทานแล้วทำให้ร่างกายหลั่งสารโดพามีน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขออกมา จึงทำให้เรารู้สึกดีเมื่อได้รับประทานของหวาน2 และน้ำตาลยังเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย โดยพลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนไหวของเรากว่า 70% ได้มาจากน้ำตาล3 นอกจากนี้ น้ำตาลยังช่วยเติมเต็มพลังงานให้กับกล้ามเนื้อและสมอง ทำหน้าที่เป็นเชื้อเพลิงช่วยให้ร่างกายตื่นตัวกระปรี้กระเปร่า ในหนึ่งวันร่างกายจึงต้องการน้ำตาลจากอาหารต่างๆ ราว 100-400 กรัม3 โดยน้ำตาลที่เราบริโภคกันอยู่นี้สามารถแบ่งน้ำตาลออกได้เป็น 2 ชนิด ตามโครงสร้างทางเคมีคือ น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว และ น้ำตาลโมเลกุลคู่
น้ำตาลทั้ง 2 ชนิดนี้ต่างกันอย่างไร? และเราควรเลือกบริโภคชนิดไหนมากกว่า?
1. น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharide) เป็นน้ำตาลที่มีโครงสร้างทางเคมีเรียบง่ายที่สุด มีรสหวาน ละลายน้ำได้ดี เมื่อบริโภคสามารถใช้ประโยชน์ได้ทันทีที่เข้าสู่ร่างกาย โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อย น้ำตาลประเภทนี้ ได้แก่ กลูโคส กาแลกโทส และฟรุกโทส
- กลูโคส (Glucose) เป็นชนิดของน้ำตาลที่สำคัญซึ่งร่างกายใช้เป็นพลังงาน เป็นแหล่งพลังงานหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์สมอง4 ไม่ว่าเราจะบริโภคน้ำตาลในรูปแบบใด ส่วนใหญ่ร่างกายจะย่อยน้ำตาลเหล่านั้นเป็นกลูโคส5 จากนั้นจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดผ่านตับและส่งต่อไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย กลูโคสมักพบในส่วนต่างๆ ของพืชที่มีรสหวาน
- กาแลกโทส (Galactose) เป็นน้ำตาลที่ไม่สามารถพบได้เองตามธรรมชาติ แต่เกิดจากกระบวนการย่อยแลกโตส (Lactose) ในน้ำนม
- ฟรุกโทส (Fructose) เป็นน้ำตาลธรรมชาติที่มีรสชาติหวานที่สุด พบได้ในผลไม้ที่มีรสหวานและ น้ำผึ้ง เป็นชนิดของน้ำตาลที่ถูกนำมาเติมในเครื่องดื่ม เมื่อบริโภคเข้าไปจะถูกนำไปเก็บไว้ที่ตับ โดยไม่ได้สร้างพลังงานให้กับกล้ามเนื้อและสมอง และหากสะสมในปริมาณมากก็จะกลายเป็นไขมันพอกที่ตับ และยังมีผลต่อการระงับการหลั่งของอินซูลิน ทำให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคการเผาผลาญอาหารที่ผิดปกติ
2. น้ำตาลโมเลกุลคู่ (disaccharide) เป็นการรวมตัวกันระหว่างน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว 2 โมเลกุล ได้แก่
- ซูโครส (Sucrose) เกิดจากการรวมกันของกลูโคสกับฟรุกโทส พบในพืชทั่วไปที่มีรสหวาน รวมถึงแหล่งความหวานที่เรานำมาผลิตเป็นน้ำตาลเพื่อการบริโภค เช่น อ้อย และหัวบีต คนทั่วไปมักรู้จักน้ำตาลชนิดนี้ในชื่อของน้ำตาลทรายนั่นเอง
- แลกโทส (Lactose) เป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ที่พบได้เฉพาะในน้ำนมสัตว์ สามารถย่อยได้เป็นกลูโคสและกาแลกโทส
- มอลโทส (Maltose) เมื่อถูกย่อยแล้วจะได้เป็นกลูโคส 2 โมเลกุล เราจะพบน้ำตาลชนิดนี้ได้ในเมล็ดข้าวที่กำลังงอก หรือจากการย่อยแป้ง
สิ่งสำคัญในการเลือกรับประทานน้ำตาลคือต้องคำนึงถึงปริมาณและชนิดที่เหมาะสม ไม่ให้มากเกินไป ซึ่งกรมอนามัยได้ให้คำแนะนำว่า ไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม6 เพราะไม่ว่าจะบริโภคน้ำตาลชนิดใดก็มีโอกาสทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมาได้ ก่อนเลือกผลิตภัณฑ์ใดๆ ที่มีส่วนผสมของน้ำตาล เราจึงควรดูรายละเอียดปริมาณน้ำตาลบนฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่บริโภคน้ำตาลเกินกว่าความจำเป็นของร่างกาย
ปรึกษาด้านสุขภาพและโภชนาการกับผู้เชี่ยวชาญของเรา