การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด4 (Blood Glucose Control)
หากคุณหมอพบว่าผู้ป่วยมีภาวะก่อนเบาหวาน ก็ควรลดค่าระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร (FPG) ให้ต่ำกว่า 100 มก./ดล. หรือค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C) ต่ำกว่า 5.7% เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเบาหวานในอนาคต3 แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ได้ตามเป้าหมายก่อน เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้เกิดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา5,6 (ตารางที่ 2)
การควบคุมเบาหวาน
| เป้าหมาย
(ควบคุมเข้มงวด)
|
ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร
| 80–130 มก./ดล.
|
ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 2 ชั่วโมง
| -
|
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงสุดหลังอาหาร
| <180 มก./ดล.
|
A1C (เปอร์เซ็นต์ของฮีโมโกลบินทั้งหมด)
| <7.0%
|
*อย่างไรก็ตาม เป้าหมายระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายของผู้ป่วย โรคร่วม และ/หรือโรคแทรกซ้อน เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมถึงเป้าหมายระดับน้ำตาลในเลือด และตรวจติดตามต่อเนื่อง
ตารางที่ 2 เป้าหมายการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
(ที่มา: สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย, สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน พ.ศ. 2566. 1st ed. ศรีเมืองการพิมพ์; 2566.)
นอกจากการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจะช่วยชะลอการเกิดโรคเบาหวานแล้ว ยังช่วยลดความแปรปรวนของระดับน้ำตาลในเลือดระหว่างวันได้ หากเกิดความแปรปรวนมากไป จะส่งผลให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำหรือสูงที่อันตรายต่อสุขภาพมาก ๆ โดยเฉพาะภาวะน้ำตาลต่ำที่อาจรุนแรงถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยหมดสติได้7 ดังนั้น เพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงจากความแปรปรวนดังกล่าว ทุกท่านควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมพื้นฐาน ดังนี้
1. การกินอาหาร เน้นอาหารที่ทำจากธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว ผัก เนื้อปลา เต้าหู้ แบ่งกินมื้อเล็ก ๆ หลายมื้อตลอดทั้งวัน เลี่ยง-ลด-งดอาหารรสหวาน ปัจจุบัน มีอาหารทดแทนสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สะดวกจัดหาอาหารเพื่อสุขภาพที่เหมาะสม (อาหารทดแทน 1 แก้วแทนอาหาร 1 มื้อ) มีผลการศึกษาว่า อาหารทดแทนสำหรับผู้ป่วยเบาหวานมีส่วนช่วยลดความแปรปรวนของระดับน้ำตาลในเลือดระหว่างวัน เมื่อใช้ต่อเนื่อง 30 วัน และช่วยลดค่าน้ำตาลสะสม เมื่อใช้ต่อเนื่อง 6 เดือน8,9
*ร่วมกับการรับประทานอาหารหลักให้หลากหลายครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อาหารทางการแพทย์ ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
อ่านต่อเรื่อง “เป็นเบาหวาน กินอาหารอย่างไร?” คลิก [ลิงก์ topic 1]
2. อย่าอยู่นิ่งเป็นเวลานาน ๆ ควรหาเวลายืดเส้นยืดสาย เริ่มจากกิจวัตรประจำวัน เช่น เดินขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ ออกกำลังกายเป็นประจำ (แต่ไม่หักโหม) อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์
3. ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมอาหารและออกกำลังกายร่วมกับการใช้ยา อาจเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ (hypoglycemia) ฉับพลัน ได้แก่ อาการใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก หน้ามืด ตาลาย หรือหมดสติ หากรุนแรงอาจอันตรายถึงชีวิตได้ แนะนำให้พกน้ำหวานหรือลูกอมติดตัวไว้ เพื่อเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้ทันที
4. ผู้ป่วยสามารถตรวจระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยตนเองจากการเจาะปลายนิ้ว (self-monitoring of blood glucose) ซึ่งช่วยให้คุณหมอประเมินและปรับแผนการรักษาที่เหมาะสม นอกจากนี้ ควรตรวจสายตาทุกปี เพราะระดับน้ำตาลที่สูง อาจส่งผลกับสายตาและการมองเห็นได้
#สาเหตุน้ำตาลสูง #อาการน้ำตาลสูง #คนไข้เบาหวาน #ตรวจน้ำตาล #น้ำตาลในเลือดต่ำ #ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม #เกณฑ์ระดับน้ำตาล #ภาวะก่อนเบาหวาน #เบาหวานคุมระดับน้ำตาล #โรคเบาหวาน #ควบคุมน้ำตาล #blood_glucose_control #glucose_control #glucosecontrol
TH.2024.51305.GLU.1 (v1.0) ©2024 Abbott
ปรึกษาด้านสุขภาพและโภชนาการกับผู้เชี่ยวชาญของเรา