โภชนบำบัดทางการแพทย์รักษาเบาหวาน

โภชนบำบัดทางการแพทย์ในการดูแล
ผู้ป่วยเบาหวาน

Banner
Banner
Banner

ปัจจุบันผู้ป่วยเบาหวานสามารถเลือกรับประทานอาหารต่างๆ ได้เช่นเดียวกับคนปกติ แต่จำเป็นต้องเรียนรู้ว่าจะรับประทานอาหารได้มากน้อยเพียงใดจึงจะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง การรับประทานข้าวแต่น้อยหรือไม่รับประทานเลยแล้วไปเพิ่มอาหารอย่างอื่น เช่น ผลไม้เนื้อสัตว์ ในปริมาณมากๆ ไม่ใช่วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องทั้งยังอาจทำให้ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดสูงอีกด้วย

วิธีการทานอาหารที่ถูกต้อง สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ผู้ป่วยควรเลือกรับประทานอาหารหลากหลายชนิดเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยเลือกรับประทานอาหารตามกลุ่มต่างๆ ดังนี้ 

กลุ่มที่ 1 

คาร์โบไฮเดรต เป็นกลุ่มที่มีผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดโดยตรง คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคาร์โบไฮเดรต มีเฉพาะในอาหารกลุ่มข้าวและแป้ง  แต่ที่แท้จริงคาร์โบไฮเดรตยังซ่อนอยู่ในอาหารพวก ผลไม้ นม ผักประเภทหัว น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง

อาหารจำพวก ข้าว ก๋วยเตี๋ยวขนมปัง เผือกมัน ถั่วเมล็ดแห้ง 1 ส่วนประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต
15 กรัม โปรตีน 3 กรัม ให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรีนั่นคือ

ข้าวสุก ½ ถ้วยตวง (ประมาณ 1 ทัพพีเล็กในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า)

ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่, เส้นเล็ก ½ ถ้วยตวง (ประมาณ 1 ทัพพีเล็ก) 

ถั่วเขียว, ถั่วดำ, ถั่วแดงสุก ½ ถ้วยตวง

ข้าวต้ม ¾ ถ้วยตวง (2 ทัพพีเล็ก), วุ้นเส้นสุก ½ ถ้วยตวง 

ขนมจีน 1 จับ, บะหมี่ ½ ก้อน

ขนมปังปอนด์ 1 แผ่น, มันฝรั่ง 1 หัวกลาง 

ข้าวโพด 1 ฝัก ( 5 นิ้ว ), แครกเกอร์สี่เหลี่ยม 3 แผ่น

ผู้ป่วยโรคเบาหวานรับประทานอาหารในกลุ่มนี้ได้เช่นเดียวกับคนปกติไม่จำเป็นต้องงดหรือจำกัดมากเกินไป เพราะข้าวเป็นแหล่งของพลังงานที่ร่างกายต้องการใช้เพื่อการทำกิจกรรมต่างๆ ส่วนจะ
รับประทานได้เท่าไรนั้น ขึ้นกับอายุ น้ำหนักตัวและกิจกรรมหรือแรงงานที่ผู้ป่วยทำ

ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรเลือกรับประทานข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อย
หรือขนมปังที่ทำจากแป้งที่ไม่ขัดสี เพื่อจะได้ใยอาหารเพิ่มขึ้นควรพยายามหลีกเลี่ยงกลุ่มอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาล เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้  ขนมหวานทั้งแบบไทยและแบบฝรั่ง

กลุ่มที่ 2 

ผักชนิดต่างๆ 1 ส่วน มีคาร์โบไฮเดรต 5 กรัม โปรตีน 2 กรัม ให้พลังงาน 25 กิโลแคลอรี

แครอต, ฟักทอง, ข้าวโพดอ่อน ½ ถ้วยตวง

ผักคะน้า, บรอกโคลี ½ ถ้วยตวง

ถั่วแขก, ถั่วลันเตา, ถั่วฝักยาว ½ ถ้วยตวง

น้ำมะเขือเทศ, น้ำแครอต ½ ถ้วยตวง

อาหารกลุ่มนี้มีวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารสูง ผู้ป่วยเบาหวานควรรับประทานให้มากขึ้นในทุกมื้ออาหาร โดยเฉพาะผักใบสีเขียวสดหรือสุกรับประทานได้ตามต้องการ ถ้านำผักมาคั้นเป็นน้ำ ควรรับประทานกากด้วยเพื่อจะได้ใยอาหาร จะช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลและไขมันในอาหารช่วยทำให้ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดลดลง ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรรับประทานผักวันละ 2-3 ถ้วยตวง ทั้งผักสดและผักสุกเพื่อให้ได้ใยอาหาร 15 กรัมต่อวัน

กลุ่มที่ 3 

กลุ่มผลไม้ 1 ส่วน มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม ให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี

กล้วยน้ำว้า 1 ผล, ฝรั่ง ½ ผลใหญ่, ส้ม 1 ผล (2 ½ นิ้ว)

กล้วยหอม ½ ผล, แอปเปิล 1 ผลเล็ก, ชมพู่ 2 ผล

มะม่วงอกร่อง ½ ผล, เงาะ 4-5 ผล, ลองกอง 10 ผล

มะละกอสุก 8 ชิ้นขนาดคำ, แตงโม 10 ชิ้นขนาดคำ

น้ำผลไม้ 1/3 ถ้วยตวง

ผลไม้ทุกชนิดมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ถึงแม้จะมีใยอาหารแต่หากรับประทานมากกว่าปริมาณที่กำหนด จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรเลือกรับประทานผลไม้ 1 ชนิดต่อมื้อ
วันละ 2-3 ครั้งหลังอาหาร ควรหลีกเลี่ยงผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ขนุน ละมุด หรือ ผลไม้ตากแห้ง ผลไม้กวนผลไม้เชื่อม ผลไม้แช่อิ่ม ผลไม้กระป๋อง การรับประทานผลไม้ครั้งละมากๆ แม้จะเป็นผลไม้ที่ไม่หวานก็ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้

กลุ่มที่ 4 

โปรตีน อาหารที่ให้โปรตีนเป็นหลักคือกลุ่มเนื้อสัตว์ กลุ่มนมและผลิตภัณฑ์จากนม ควรทานโปรตีน
ร้อยละ 15-20 ของพลังงานทั้งหมด

เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน 1 ส่วน มีโปรตีน 7 กรัม ไขมัน 3 กรัม ให้พลังงาน 55 กิโลแคลอรี

เนื้อหมู, เนื้อวัว ไม่ติดมันและหนัง หั่น 8 ชิ้น (ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ)

เนื้อไก่, เป็ด ไม่ติดมันและหนัง หั่น 8 ชิ้น

ปลาทู (ขนาด 1 ¼ นิ้ว) 1 ตัว, ลูกชิ้น 6 ลูก

เต้าหู้ขาว ½ หลอด, ไข่ขาว 3 ฟอง

อาหารกลุ่มนี้ให้โปรตีนเป็นหลัก ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรได้รับทุกมื้อ มื้อละ 4-6 ช้อนกินข้าวพูนน้อยๆ และควรเลือกเนื้อสัตว์ชนิดไม่ติดมันและหนัง รับประทานปลา 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้ได้โอเมก้า 3  และควรเลือกดื่มนมพร่องมันเนยปริมาณ 1 กล่อง (225-250 มิลลิลิตร) ต่อวัน

กลุ่มที่ 5 

ไขมัน  ไม่ควรรับประทานไขมันเกินร้อยละ 30 ของพลังงานรวมแต่ละวัน  ควรเน้นเลือกรับประทานไขมันชนิดที่ดี ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated Fatty Acid; MUFA) ร้อยละ 10-15 ของพลังงานรวม  และกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (Polyunsaturated Fatty Acid; PUFA) ไม่เกินร้อยละ 10 ของพลังงานรวม   ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานไขมันชนิดไม่ดีที่มีกรดอิ่มตัว (Saturated fatty acid: SF) ไม่เกินร้อยละ 7 ของพลังงานรวม และไขมันทรานส์ (เนยขาว) ไม่เกิน
ร้อยละ 1 ของพลังงานรวม

ไขมัน 1 ส่วนมีไขมัน 5 กรัมให้พลังงาน 45 กิโลแคลอรี

น้ำมันพืช/น้ำมันหมู 1 ช้อนชา, เนย 1 ช้อนชา, กะทิ 1 ช้อนโต๊ะ

มายองเนส 1 ช้อนชา, เบคอนทอด 1 ชิ้น, ครีมเทียม 4 ช้อนชา

เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ 6 เมล็ด, ถั่วลิสง 20 เมล็ด

น้ำมันทั้งพืชและสัตว์ให้พลังงานเท่ากัน แต่น้ำมันพืชไม่มีคอเลสเตอรอล ส่วนน้ำมันมะพร้าวและกะทิ
มีกรดไขมันอิ่มตัวจำนวนมากทำให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลในร่างกายเพิ่มขึ้น  ผู้ป่วยเบาหวานควรเลือกใช้น้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าวในการประกอบอาหารจานผัดและจานทอดที่ไม่ใช้ความร้อนสูง ส่วนน้ำมันมะกอกเหมาะในการใช้ทำน้ำสลัด

กลุ่มที่ 6 

น้ำนม 1 ส่วนมีโปรตีน 8 กรัมคาร์โบไฮเดรต 12 กรัมจำนวนพลังงานแตกต่างกันตามปริมาณไขมันในน้ำนมชนิดนั้นๆ

น้ำนมไขมันเต็ม 240 มิลลิลิตร มีไขมัน 8 กรัม ให้พลังงาน 150 กิโลแคลอรี

น้ำนมพร่องมันเนย 240 มิลลิลิตร มีไขมัน 5 กรัม ให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี

น้ำนมไม่มีไขมัน 240 มิลลิลิตร มีไขมันน้อยมาก ให้พลังงาน 90 กิโลแคลอรี

โยเกิร์ตชนิดครีมไม่ปรุงแต่งรส 240 มิลลิลิตร ปริมาณพลังงานขึ้นกับชนิดของนมที่นำมาทำโยเกิร์ต ถ้าใช้ไขมันเต็ม จะให้พลังงาน 150 กิโลแคลอรี เท่ากับน้ำนม

ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรหลีกเลี่ยงนมปรุงแต่งรส โยเกิร์ตชนิดครีมปรุงแต่งรสนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม เพราะนมเหล่านี้มีการเติมน้ำตาลหรือ น้ำหวานควรเลือกดื่มนมพร่องมันเนย

จะเห็นว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานในปัจจุบัน มีอิสระในการเลือกอาหารมากขึ้นและอาหารที่แนะนำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานก็มิได้แตกต่างจากอาหารคนปกติ แต่จะเป็นลักษณะของอาหารที่มีน้ำตาลน้อย ไขมันต่ำ รสอ่อนเค็ม ซึ่งเป็นอาหารที่เหมาะสมสำหรับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะผู้ป่วยเบาหวานเท่านั้น เพียงแต่ผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการเลือกชนิดอาหาร ปริมาณที่รับประทานการแลกเปลี่ยนและการทดแทนอาหารเพื่อจะสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างสม่ำเสมอ

TH.2023.38820.GLU.1 (v1.0) ©2023Abbott

บทความที่เกี่ยวข้อง